21 พ.ค. 2560

ฤดู สมัคร นศท.มาถึงแล้ว (เรื่องเก่า มาเล่าใหม่)

ช่วงเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน ของทุกปี จะมีการคัดเลือกนักเรียนนักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เพื่อเข้าเป็นนักศึกษาวิชาทหาร โดยผู้เข้ารับการคัดเลือกจะต้องมีคุณลักษณะดังนี้

สำเร็จการศึกษาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไป และมีผลการเรียนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 1.00  กำหนดเกรดต่ำจัง  
(ใช่ๆ คงต้องการคนฉลาดน้อย)

กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาที่เป็นวิชาทหาร (หมายถึง โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ที่เปิดให้มีการฝึก นศท.) จะเป็น นักเรียน .ม.4,5,6  หรือ  ปวช.1,2,3   ก็ได้ (กศน.ไม่รับนะครับ)

เป็นบุคคลเพศชาย,หญิง , กะเทย, ตุ๊ด, ทอม ,ดี้ ก็ได้  แต่ต้องมีสัญชาติไทย
เป็นบุคคลผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป และไม่เกิน 22 ปี นับตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร และต้องได้รับคำยินยอมจาก บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง (กรณีที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ)

เป็นบุคคลที่ไม่พิการ ทุพพลภาพ หรือมีโรค ซึ่งไม่สามารถจะรับราชการทหารได้ ตามกฎหมาย ว่าด้วยการรับราชการทหาร พ.ศ. 2497

เป็นบุคคลผู้มีน้ำหนัก ขนาดรอบตัว ขนาดส่วนสูง ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยผู้สมัครต้องผ่านการทดสอบร่างกาย ตามเกณฑ์ที่กำหนด

มีใบรับรองของสถานศึกษาว่ามีความประพฤติเรียบร้อย สมควรเข้ารับการฝึกวิชาทหาร

นอกจากนี้  ผู้สมัครจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้เป็นบุคคลผู้มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI: Body Mass Index) อยู่ในเกณฑ์ปกติ และต้องไม่อยู่ในภาวะ โรคอ้วน ซึ่งมีดัชนีความหนาของร่างกาย ต้องน้อยกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร       (BMI = น้ำหนักตัว (กก.) / ส่วนสูง² (ม.²)
   
ต้องผ่านเกณฑ์ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ดังนี้ คือ  
นักเรียนชาย วิ่ง 800 เมตร ใน 3 นาที 15 วินาที 
ลุกนั่ง 34 ครั้ง ใน 2 นาที  ทำได้เอาไป 100 คะแนน
ดันพื้น (วิดพื้น) 22 ครั้ง ใน 2 นาที   ทำได้เอาไป 100 คะแนน    
นักเรียนหญิง  วิ่ง 800 เมตร  ใน 4  นาที ทำได้เอาไป 100 คะแนน  
ลุกนั่ง 25 ครั้ง ใน 2 นาที  ทำได้เอาไป 100 คะแนน
ดันพื้น (วิดพื้น) 15 ครั้ง ใน 2 นาที ทำได้เอาไป 100 คะแนน

การสมัคร นศท. นักเรียนจะต้องสมัครกับ ผกท.
(ผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหาร) ก็คือ ครู. อาจารย์ ที่ รร.นั่นแหละ  
ใครสมัครก็จะได้รับใบสมัคร (ใบ รด.๑)  ๑ ใบ กรอกข้อความ
ให้เรียบร้อยทั้งด้านหน้าและด้านหลัง  และมีช่องที่ คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองต้องลงชื่อยินยอมด้วย  ผอ.ที่ รร.ก็ต้องลงชื่อรับรองด้วย  

ในใบสมัครต้องปิดรูปถ่ายด้วยนะ  ขนาด 3x4 ซม. เป็นภาพสี หรือขาวดำก็ได้  ต้องเป็นภาพถ่ายที่พิมพ์มาจากเครื่องพิมพ์รูปเท่านั้นนะ ถ้าเป็นรูปที่พิมพ์จากกระดาษ เอ 4 หรือรูปจากภาพโปสการ์ด แล้วตัดเอามาแปะ 5555 ซวยแน่    ครูทหารเขาตรวจละเอียดนะครับ เขาถือว่าไม่ให้เกียรติ อาจะถูกวิดพื้นเป็นโหลแน่ และๆๆๆ นักเรียนที่เป็นมุสลิมชาย ต้องไม่สวมหมวกกะบิเยาะ  หญิงไม่คลุมผ้าญีฮาบ นะจ๊ะ

นอกจากใบสมัครแล้ว ต้องแนบเอกสารอีกหลายอย่าง เช่น สำเนาทะเบียนบ้านตัวเอง  สำเนาทะเบียนบ้านของพ่อ  ทะเบียนบ้านของแม่  ใบรับรองแพทย์  ใบ ปพ.1 ฉบับสมบูรณ์ หลักฐานการเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนชื่อสกุล  หากพ่อ แม่ ถึงแก่กรรม ก็ต้องแนบ ใบมรณะบัตรด้วย

       เมื่อหลักฐาน เอกสารพร้อมแล้ว  ถึงวันที่กำหนด  ผกท.ก็จะพา นักเรียนไปทดสอบร่างกาย (สอบ นศท.) ตามสถานที่ที่ได้นัดหมายกันไว้  พี่ๆทหาร เขาจะมาคอยกันตั้งแต่เช้า  โดยจัดตั้งเป็นสถานี ดังนี้
       สถานีแรก   "จัดสาย" จัดลำดับ รร.ไหนมาก่อน มาหลัง 
       สถานีต่อไป "ชุมทางหาดใหญ่"  555 ม่ายช่าย  "ตรวจหลักฐาน" เขาจะดูแค่ มีใบรับรองแพทย์หรือไม่   อายุ ขาด เกิน หรือไม่ แล้วส่งต่อไปยัง
       สถานีวัดขนาด  สถานีนี้ต้องไปวัด นะครับ    เอ้าจะให้ไปวัดไหนหล่าว    แหมๆ  วัดทรวดทรงองค์เอวไง   5555  เขาวัด ส่วนสูง   วัด รอบ อก (เฉพาะ ผช.) และชั่ง นน. เพื่อเอามาคำนวน BMI  แล้วทำไมไม่วัดรอบ อก ผญ.ด้วย  555  ไม่ต้อง เดี๋ยวโดนข้อหาอนาจาร  ออกจากวัดไปต่อ
       ถึงแล้วสถานีดันพื้น  ,วิดพื้น ,วิดน้ำ  เรียกอันไหนก็ได้  เพราะเวลาทำ ทำเหมือนกันนะครับ  สถานี้แหละ ข้อไหล่แทบหลุด สั่นดิ๊กๆๆๆ  เลยนะ โดนแล้วใช่ไหมล่ะ   ไม่ค่อยมีใครทำได้คะแนนเต็มในสถานี้
        ต่อไป สถานีซิตอัพ ,ลุกนั่ง   สถานี้นี้ ผ่านสบาย  เย้ๆๆๆๆ ไปต่อ
         สถานีรถด่วน  คือวิ่งนั่นเอง  800 เมตร  สบายๆๆ  อั้ยยะ เหนื่อยเกือบตาย หอบลิ้นล่อเลย  ทำไมล่ะ แค่ 800 เมตรเอง   มันยากที่จับเวลานี่แหละ  ไม่ซ้อมมาล่ะมึงเอ๋ย  เป็นลมล้มพับนะมึง  ยิ่งวิ่งตอนเที่ยงๆ บ่ายๆ  หายใจไม่ทัน  รูจมูก 2 รู เอาไม่อยู่  อ้าปากช่วยแล้ว  ก็พังไม่พอ  เป็นลมหวา
         ใครสามารถทำได้คะแนนเต็มทั้ง 3 ท่า ได้แน่นอนจัดใหญ่ ไฟกระพริบได้เลย ใครที่ทำแล้วขาดนิด เกินหน่อยคะแนนก็จะ
ลดลงตามอัตราส่วน (กระซิบๆว่า คะแนน 250 อัพ มีสิทธิ์)
          ทดสอบเสร็จ  กลับบ้าน  รอฟังผล  
       


19 พ.ค. 2560

ขยันขยับร่างกายกันหน่อยนะ



ในชีวิตประจำวัน ถ้าเรานั่งอยู่กับที่ติดต่อกันแทบทั้งวัน ก็จัดเข้ามีพฤติกรรม เนือยนิ่ง 
และเพราะคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีพฤติกรรมทำร้ายตนเองนี้เป็นอย่างมาก 
วลีนี้จึงดูเหมือนจะเป็นคำพูดปลอบใจเราๆได้ระดับหนึ่ง

แค่เราขยับ ก็เท่ากับเราได้ออกกำลังกายจริงๆนะ  เพียงแต่ว่าออกในระดับ  ต้ำ ต่ำ
แล้วต้องออกกำลังกายปริมาณ/ขนาด เท่าใดถึงจะเพียงพอและพอเพียงล่ะ
อ่านข้อมูลนี้ก่อนซิ   ปี 2010 สถาบัน American College of Sports Medicine (ACSM) 
ได้เสนอแนวทางในการออกกำลังกายทั่วไปสำหรับผู้ใหญ่ แนวทางเหล่านี้นอกจากจะเป็น
แนวทางบอกความเพียงพอของการออกกำลังกายที่ส่งผลให้มีสุขภาพดีแล้ว 
ยังเป็นแนวทางกว้างๆที่แสดงถึงความหนักในการออกกำลังกาย ที่ให้ทั้งความปลอดภัย
และความมีประสิทธิภาพได้อีกด้วย

โดยผู้ใหญ่ที่สุขภาพดี ควรออกกำลังกายเพื่อความทนทานของระบบปอดและหัวใจ 
ที่ความหนักระดับปานกลาง  อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ 
ซึ่งถ้าแบ่งเป็นการออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ก็จะใช้เวลาครั้งละประมาณ 30 นาที 
หรือที่ความหนักระดับสูง อย่างน้อย 75 นาทีต่อสัปดาห์ หรือผสมผสานกันทั้งสองแบบ 
3 -5 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 20-30 นาที
อีกทั้งควรออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ 
โดยแบ่งฝึกกลุ่มกล้ามเนื้อหลัก ทั้งเพื่อความแข็งแรง ทนทาน การทรงตัว พละกำลัง 
และความคล่องแคล่ว และควรฝึกให้มีความยืดหยุ่นของข้อต่อ ประมาณ 2-3 ครั้ง 
โดยยืดทุกกลุ่มกล้ามเนื้อในแบบต่างๆ เช่น ยืดค้าง  ยืดแบบเคลื่อนไหว  เป็นต้น

สำหรับความหนักที่ว่าหนักไหนเรียกระดับปานกลาง ขนาดไหนเรียกความหนักระดับสูง 
มีตัววัดอยู่หลายตัว ตัววัดแรก ง่ายที่สุด คือ วัดจากการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกาย
ใน 1 นาที ถ้าเราออกกำลังกายโดยให้จำนวนครั้งของการเต้นหัวใจอยู่ระหว่าง 64-74% 
ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด ก็เท่ากับว่าเราออกกำลังกายในระดับความหนักปานกลาง 
ถ้าเราออกกำลังกายให้หัวใจเต้นอยู่ในช่วง 65-94% ก็เรียกว่าออกในความหนักระดับสูง
สำหรับอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด หาได้จากเอา 220 ตั้ง ลบออกด้วยอายุ ได้เท่าไหร่ 
นั่นคืออัตราการเต้นหัวใจสูงสุดของเรา

เช่น อายุ 56 อัตราการเต้นหัวใจสูงสุด คือ 220-56= 164
64% ของ 164 คือ 104
74% ของ 164 คือ 121

ดังนั้นการออกกำลังกายในระดับความหนักปานกลางอย่างเพียงพอคือ 
การออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นอยู่ในช่วง 104-121 ครั้ง/นาที 
เป็นเวลา 150 นาที/สัปดาห์ ทีนี้คงได้คำตอบแล้ว  ว่าแค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกายนั้น
 แม้จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ การขยับก็สามารถทำให้สุขภาพดีในระดับหนึ่งเท่านั้น 
เพราะความหนักในการขยับเขยื้อนร่างกายคงสามารถทำให้หัวใจเต้นถึง 64-74% 
ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุดได้

การวัดด้วยอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดนี้ แม้จะใช้ง่าย ไม่ยุ่งยาก แต่ก็คลาดเคลื่อนเยอะ 
เพราะเค้าสันนิษฐานว่าทุกคนแข็งแรงเท่ากัน เลยมีการเต้นของหัวใจในหนึ่งนาทีเท่ากัน 
แต่ความเป็นจริงแล้ว   ไม่ใช่

เพราะคนที่แข็งแรงมากกว่า อัตราการเต้นหัวใจ ทั้งในขณะพักและในขณะออกกำลังกาย 
จะต่ำกว่าคนที่แข็งแรงน้อยกว่า ลองคิดดูนะ 
ถ้าเราต้องการเลือดที่ออกจากหัวใจในหนึ่งนาทีเท่ากัน หัวใจที่แข็งแรงกว่าบีบที 
นึงเลือดก็พุ่งปรี๊ดออกไปได้ตั้งเยอะ หัวใจก็ไม่จำเป็นต้องบีบบ่อย 
ส่วนหัวใจที่ไม่แข็งแรง ต้องบีบหรือเต้นในจำนวนครั้งที่มากกว่า
เพื่อให้ได้เลือดไปเลี้ยงร่างกายในปริมาณที่เท่ากัน

เคยอ่านบทความของหมอวิสันต์ ในเรื่องความหนักหรือเบา ในการออกกำลังกาย
หมอบอกว่า ครั้งละ 20 - 30 นาทีเหมือนกัน  4 - 5 ครั้ง/สัปดาห์ เหมือนกัน
ความหนักแบบหมอวิสันต์ก็คือ  เอาแค่เหนื่อยหอบประมาณว่า ร้องเพลงแล้วฟังไม่รู้เรื่อง
ถือว่าเป็นอันใช้ได้   สำหรับคนที่ห่างจากการออกกำลังกายไปนานๆ  
เริ่มที่น้อยๆก่อนก็ดีนะ เอาที่ตัวเองทำได้ก็แล้วกัน



ขอขอบคุณ  ข้อมูลดีๆ จากเว็บ gotoknow 

23 ก.พ. 2560

ขบวนการ กบฎผีบุญ ครั้งที่ 1,2 และ 3

คำว่าผีบุญคือ  “พวกย่ำยีพระธรรมวินัย 
บิดเบือนพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา 
สอนให้ซื้อบุญ บ้าบุญ ซื้อสวรรค์ บ้าสวรรค์ 
ซ่องสุมกำลังถึงขั้น ยึดสำนักงานพระพุทธศาสนา
แห่งชาติ มหาเถรสมาคมและกำลังจะตั้ง
สังฆราชขึ้นในกลุ่มของตัวเอง

กบฏผีบุญในครั้งแรกต่อเนื่องมาจากปลายสมัยธนบุรี ยังไม่ถึงขั้นซ่องสุมกำลังผู้คน 
เพราะแค่อยู่ในขั้นก่อตัว คือบิดเบือนพระธรรมวินัย ดังนั้นเมื่อพระปฐมบรมกษัตริย์
ทรงปราบดาภิเษกแล้ว จึงโปรดให้ชำระสะสางกิจการพระศาสนาถึงขนาด
ถอดสมเด็จพระสังฆราชที่ไม่ซื่อตรงต่อพระธรรมวินัยออกจากตำแหน่ง 
แล้วทรงสถาปนาพระสี ขึ้นเป็นที่สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 
โปรดให้สถิตที่วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
ครั้งที่ 2  กบฏผีบุญลุกลามขยายตัวขึ้น มีการซ่องสุมกำลังถึงขั้นจะยึดเอาบ้านเอาเมือง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงทรงโปรดให้ปราบปรามอย่างเฉียบขาด 
และจับกุมหัวโจกกบฏผีบุญประหารชีวิต

มาถึงทุกวันนี้ก็เกิดกบฏผีบุญขึ้นเป็นครั้งที่ 3  และต้องถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุด
และก่อให้เกิดความเสียหายมากที่สุด  ถ้าหากไม่ล่มสลายหรือถูกปราบปรามเสียก่อน
ก็จะถึงขั้นยึดบ้านยึดเมือง ล้มล้างสถาบันต่าง ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย  
จึงเป็นหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ  ในสถานะ นายกรัฐมนตรี ต้องกำจัดขบวนการผีบุญ
ยุคดิจิทัล 4 G ให้สิ้นซาก 
           


แต่ผีบุญยุคปัจจุบันใช่จะกำจัดได้ง่ายๆซะที่ไหน  ขนาดคำสั่งหัวหน้า คสช.
อาศัยอาญาสิทธิ์ ม.44  ซึงได้กำเนินการมาแล้ว 8 วัน  ภายใต้การนำของ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ  ยังหาตัวหัวหน้าผีบุญ 4 G ไม่พบแม้แต่รอยเท้า    
หลวงปู่ทวด ที่ว่าหายากแล้ว  เซียนพระอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ 
ยังหามาคล้องคอได้โดยไม่ยาก  หากแต่ พระธัมมชโย  มีใครได้พบได้เห็นบ้างเล่า   
หลวงพ่อธัมมชโยจึงเป็นพระที่หายากที่สุดในยุคนี้